Sasin Chalermlarp

ผมรู้จัก คุณ ศศิน เฉลิมลาภ ครั้งแรกจาก คลิปด้านล่างนี้ครับ รู้สึกว่าเค้าวิเคราะห์ได้ดี มีเหตุผล รู้จักภูมิประเทศดี และรู้ว่าอุทกภัยครั้งนี้ใหญ่มาก ประกอบกับเป็นคนจาก มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ยิ่งทำให้ผมรู้สึกนับถือเชื่อถือมากขึ้น




ผมรู้จักคุณ สืบ นาคะเสถียร เพราะคุณสืบเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายที่ยิ่งใหญ่ แล้วน้าแอ๊ดแต่งเพลงนำเสนอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมคิดว่าคนที่ทำงานที่นี่ก็คงเป็นคนที่มีอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับ พี่สืบ นาคะเสถียร

ต่อมาผมก็ไม่ค่อยได้ติดตามการวิเคราะห์ของคุณ ศศิน เฉลิมลาภ มากสักเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้ว่าพี่เค้าเดินสายไปตามทีวีต่าง ๆ มาก แล้วก็ยังได้วิเคราะห์และนำเสนอผ่าน facebook ของตัวเองด้วย

ล่าสุด คุณ ศศิน เฉลิมลาภ ได้โพสข้อความดังนี้


Sasin Chalermlarp
ก่อนนอนนะครับ ผมทบทวนความเชื่อของตัวเองว่า ผมคิดว่ากรุงเทพน่าไม่รอดด้วยปริมาณน้ำขนาดนั้น และประมาทฝีมือคนทำงาน แต่เอาจริงๆแล้วเขาลึกล้ำกว่าเรา แมนยำเทคนิคข้อมูลกว่าเรามาก คนทำงานหน้างานมีความรู้พอ ที่จะทำอย่างไรให้วิกฤติลดลงตามกรอบคิดของกรมชลได้มากกว่าที่เราคิดแบบชั้นเดียว คือการนำน้ำผ่านเมืองตามคลองบางส่วน ออกทุ่งตะวันออกมากๆ แต่ต้องทำความเข้าใจและเร่งจัดการอุปสรรค์เช่นมอเตอร์เวย กับ บางนาตราด ผ่านมันให้เร็วก่อนท่วมสุวรรณภูมิ อะไรงี้ กั้นคันสองชั่น ถ้าไม่ไหวเอาถนนสูงๆมาสำรองเช่นแจ้งวัฒนะ แต่คนทำงานเขารู้มากกว่ามาก เขาเอาน้ำไปแขวนไว้รังสิตตามคลองต่างๆสำเร็จ และไม่รู้ว่ารู้ได้ไงว่าน้ำจะมาบวมทางตะวันตกมากกว่า เบี่ยงน้ำที่จะโจมตีคันหลักหกและลำลูกกาอย่างอยู่หมัด แต่พอพลาดที่พหลโยธินเข้ามาพลักๆ ก็ใช้บิ๊กแบ็ค ทัน อะไรแบบนี้ ผมรู้สึกว่าเป็นหนึ่งเดือนที่เราพูดอะไรไม่ฉลาดมากไปหรือเปล่า..แต่ก็เชื่อว่าคนหน้างานเขาหนักและหวังดีจริงๆ พรุ่งนี้จะสำรวจยุดยามาเล่าให้ฟังครับ

สุดท้ายผมก็คิดไม่ผิดจริง ๆ คนทำงานให้พี่สืบ นับถือได้

รีรัน กระทู้ในตำนานของท่านมหาชำร่วย -- ย้อนรอยเปิดปูมมืด ปชป ต้อนรับสาวกแมงสาป

ย้อนรอยเปิดปูมมืด ปชป. 64 ปี แห่งความเคลือบแคลง

สำหรับบางท่านที่คลิกเข้าไปดูไม่ได้ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใด (ซึ่งเราก็ไม่ทราบอ่ะนะคะ) เราจะโควท บางคอมเม้นท์ที่เป็นยาชั้นดี ในการกำจัดแมงสาปมาให้อ่านกัน ส่วนฉบับเต็ม ตามลิงค์ด้านบนค่ะ
............................................................
เริ่มจากต้นเรื่องเลยค่ะ โพสท์ท่านมหาชำร่วย

ถ้าเราย้อนกลับไปดูความเป็นมาและเป็นไปของพรรคประชาธิปัตย์ตลอดระยะเวลา
64 ปีของชีวิตพรรค เราจะพบว่าพรรคการเมืองพรรคนี้มีแผลเป็นด่างพร้อยติดตัว
ให้ได้เกิดความเคลือบแคลงกันตลอดมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว หรือพูดได้ว่าตลอด
ชั่วชีวิตของพรรคเลยทีเดียว

เริ่มจากการก่อตั้งพรรคเมื่อ วันที่ 6 เมษายน 2489 โดยมี นายควง อภัยวงศ์ เป็น หัวหน้าพรรค
มี มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรองหัวหน้าและ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก
ในครั้งนั้นว่ากันว่าพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นมาภายใต้ระบอบ
ประชาธิไตยและเป็นพรรคฝ่ายค้านนั้น มีส่วนรู้เห็นในการทำรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490
ซึ่งมี พลโทผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าคณะ ฯและได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาลซึ่งมีพลเรือตรี ถวัลย์
ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ โดยในคืนวันที่ 7 พฤศจิกายน 2490 ทางพรรค
ประชาธิปัตย์ได้จัดการการกุศลชื่อ “เมตตาบันเทิง” ขึ้นที่สวนอัมพร ซึ่งเป็นงานเต้นรำการกุศล
ซึ่งในคืนนั้นมีไฮไลท์อยู่ที่ฉากของพลเรือตรี ถวัลย์ และนายควง อภัยวงศ์ ผู้นำฝ่ายค้าน คู่กัดที่
ขัดแย้งกันอย่างเข้มข้น ได้ร่วมกันนั่งรถสามล้อวน ไปรอบ ๆ เวทีเต้นรำสวนอัมพร ทำเอา
ผู้คนต่างพากันโล่งอกคิดว่าการปรองดองน่าจะเริ่มต้นขึ้นแล้วในคืนนั้น

แต่การณ์กลับไม่ใช่อย่างที่เห็น เมื่อนายทหารคนสนิทแอบมากระซิบบอกหลวงธำรงค์เสียก่อน
ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนล่อให้หลวงธำรงค์เข้ามาติดกับเพื่อจะได้จับกุมตัวและเข้าสู่การรัฐประหาร
ซึ่งก่อนหน้านี้ ร้อยเอก ขุนปรีชารณเสฏฐ์ นำกำลังทหารหน่วยปืนต่อสู้อากาศยานและ ร.1 พัน 3
ไปจับกุมหลวงธำรงค์มาแล้ว ที่บ้านพักถนนราชวิถี จึงเป็นที่มาของการหลบหนีของหลวงธำรงค์
ซึ่งก่อนหน้าที่หลวงธำรงค์จะหลบไปนั้น ท่านได้ทิ้งคำสาปแช่งนายควงและพรรคประชาธิปัตย์ไว้
อย่างที่ผมเคยเล่าไปแล้วครั้งนึงที่นี่

นอกจากนั้นยังได้มีการนำเอารัฐธรรมนูญที่เรียกกันว่า “รัฐธรรมนูญฉบับใต้ตุ่ม” ขึ้นมาใช้ปกครอง
ประเทศซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่พันเอก กาจ กาจสงคราม รองหัวหน้าคณะปฏิวัติของพลโทผิน
ได้ร่วมกันกับแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งกระนั้นร่างขึ้นมาแล้วเอาไปซ่อนไว้ใต้ตุ่มกันไม่ให้
ใครมาพบเข้า

คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวได้แอบร่างกันขึ้นมาก่อนการทำรัฐประหาร คนกลุ่มนี้มีรายชื่อเช่น
มรว. เสนีย์ ปราโมช รองหัวหน้าพรรคและ มรว. คึกฤทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์, นายเลื่อน
พงษ์โสภณ สส.พรรคประชาธิปัตย์, พระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ อธิบดีศาลฎีกา, พระยารักตประจิต-
ธรรมจำรัส อดีตกรรมการศาลฎีกา, พันเอก สุวรรณ์ เพ็ญจันทร์ เจ้ากรมพระธรรมนูญทหารบก,
ร้อยเอก ประเสริฐ สุดบรรทัด และนายเขมชาติ บุญยรัตพันธ์ ซึ่งต่อมานาวาอากาศเอกกาจ หรือ
แกนนำคณะรัฐประหารและผู้อำนวยการร่างรัฐธรรมนูญ ได้ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้
เพิ่มอำนาจบริหารให้แก่พระมหากษัตริย์มากขึ้น ... สมใจ Loyalist อย่าง มรว.คึกฤทธิ์ ท่านละ

และจากนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยมีนายควง อภัยวงศ์เป็นนายก ฯ แต่ก็เป็น
ได้แค่ 5 เดือน นายควงก็ถูกเขี่ยกระเด็นให้พ้นทางและจอมพล ป. ก็ขึ้นมานั่งเก้าอี้นายก ฯ แทน

เรียกได้ว่า พรรคนี้เริ่มสกปรกและเป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตยมาตั้งแต่เริ่มแล้ว

ที่น่าจดจำอีกเรื่องนึงก็คือ เรื่อง สปก.4-01 ที่ภูเก็ต เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2537 เมื่อนายสุเทพ
รมว.กระทรวงเกษตร ฯ ในขณะนั้น ได้มอบเอกสารที่ดิน ส.ป.ก.ให้กับเกษตกรผู้ยากไร้ที่ดินทำกินจำนวน
592แปลง จำนวน 489 ราย เป็นพื้นที่ดินทั้งสิ้น 10,000 กว่า ไร่ ทั้งพื้นที่ป่าเขาสามเหลี่ยม ป่าเทือกเขา
กมลา และป่าเทือกเขานาคเกิด จากการตรวจสอบพบว่า มีตระกูล”นายหัว”ในภูเก็ตจำนวน 11 ตระกูล
ที่ได้รับเอกสารสิทธิ ฯ นี้ ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ตระกูลเทพบุตร ซึ่งนายทศพร เทพบุตรซึ่งเป็นสามีของ
นางอัญชลี เทพบุตร ขณะเป็นเลขานุการของนายสุเทพ ได้รับแจกที่ดิน สปก.4-01 กับเขาด้วย

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.50 ศาลจังหวัดภูเก็ตได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาพิพากษายืนคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ขับไล่นายทศพรและบริวารออกจากที่ดิน สปก.4-01 ก.เลขที่ 140 อ.เมือง จ.ภูเก็ต เนื้อที่
98 ไร่ 1 งาน 7 ตรว.

คนรับถูกขับไล่และยึดคืนที่ดิน ซึ่งแสดงชัดแล้วว่าได้รับมาโดยมิชอบ แต่ไอ้คนที่แจกโดยมิชอบ
ยังเดินพุงพลุ๊ยเข้า – ออก ทำเนียบรัฐบาลอยู่จนทุกวันนี้ ผมว่ามันเป็นการซ้ำเติมพรรคของตัวเอง
ให้แปดเปื้อนโดยไม่จำเป็นอีกเรื่องนึง คนก็เลยเข้าใจในชั้นแรกนี้แล้วว่า เป็นเพราะความมีเส้น
พรรค ๆ นี้จึงยังรอดการพิจารณาในความผิดฉกรรจ์มาได้อีกครั้งนึงโดยปลอดภัย

ถัดมาก็เป็นสมัยที่มอมแมมค่อนข้างมากเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ซึ่งผมคงไม่ต้องเล่าอะไร
เพิ่มเติมให้เสียเวลา เอาเป็นว่าจนกระทั่งวันนี้ ... ผลทางคดี ปรส. ภายใต้การนำระบบการคลัง
โดย รมว.กระทรวงการคลังจากพรรคประชาธิปัตย์นั้น ก็ยังคลุมเครือ หาตัวคนผิดยังไม่ได้เช่นเคย
จะมีคนรับหน้าก็เห็นแค่ นายอมเรศ ศิลาอ่อน ในฐานะประธาน ปรส.เท่านั้นที่คดียังอยู่ในศาลและ
ก็ให้คาดหวังได้อีกเช่นเคยว่า ความผิดทั้งหมด (ถ้ามี) ก็คงจะสาวไปไม่ถึงระดับพรรคอีกเช่นเคย
ความสงสัยและเครื่องหมาย “?” แทบจะติดอยู่ตรงหน้าผากจนเกือบจะกลายเป็นโลโก้ของพรรค
ไปแล้วละครับ

... ผมเริ่มเชื่อข่าวลือแล้วว่า เทพยดาฟ้าดินไม่เคยทอดทิ้งร่างทรงชั้นดีอย่างประชาธิปัตย์ ...

จริง ๆ แล้วยังมีเรื่องราวปริศนาอีกมากมายที่หาตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้ ฟังผ่าน ๆ แล้ว
เหมือนจะคล้ายสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้ายังไงไม่รู้ ผมจะยกตัวอย่างเฉพาะสมัยที่นายชวน
แกเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดูกันก่อน ซึ่งผลงานการรวบรวมนี้เป็นเครดิต
ของ "คุณหนุ่มฝั่งธน ฯ" ครับ
ซึ่งต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมาก

1.มีการรับสินบนตัดไม้สักจากป่าสาละวินเข้าไปให้นายกรัฐมนตรีเพื่อบริจาคให้ กองทุนไทยช่วยไทย
เมื่อ กุมภาพันธ์ 2541 แต่รัฐบาลไม่สามารถสืบค้นและจับกุมผู้บงการตัดไม้ป่าสาละวินที่แท้จริงได้

2. เตรียมการฮั้วการประมูลของเอกชน 8 รายโครงการสื่อสัญญาณความเร็วสูงหรือ SDH มูลค่า
หมื่นล้านบาทขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ นายสุเทพ
นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการฯ แต่ถูกเปิดโปง จึงระงับไว้ก่อน แต่ต่อมาใน 9 พฤศจิกายน 2543 ก่อนที่
นายกฯชวนจะประกาศยุบสภาเพียง 5 ชั่วโมง องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยในยุคที่ สุเทพ
เทือกสุบรรณเป็น รมว.คมนาคม ได้เปิดไฟเขียวให้ สมบัติ อุทัยสาง ประธานคณะกรรมการ ทศท.
และสุธรรม มลิลา ผอ.ทศท. ทายาท สุเทพ เทือกสุบรรณ เซ็นสัญญาพร้อมจัดหา และติดตั้งอุปกรณ์
โครงการขยายโครงการข่ายสัญญาณความเร็วสูงทั่วประเทศ (เอสดีเอช.หรือที่แปลงโฉมเป็น TNEP.
นั่นเอง) มูลค่าถึง 7,500 ล้านบาท

3. กันยายน 2541 มีการขุดคุ้ยให้สาธารณชนรับรู้ถึงความผิดปกติของโครงการผักสวนครัวรั้วกินได้
ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของ วิรัช รัตนเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากพรรค
ชาติไทย ที่นำเงินงบประมาณ 500 ล้านบาทมาจัดซื้อเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว เช่น มะเขือเปราะ
พริกขี้หนู บวบ เป็นต้น เพื่อนำไปให้ชาวบ้านปลูกไว้กินเอง โครงการนี้ถูกตรวจสอบพบว่าใช้วิธีพิเศษ
เมื่อถูกเปิดโปงก็ทำให้ วิรัช รัตนเศรษฐ์ ลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยทั้งน้ำตา และถึงวันนี้ยังไม่สามารถ
หาผู้ทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย และไม่ได้รับการเอาใจใส่ติดตามจากผู้นำรัฐบาลแม้แต่น้อย

4. พฤศจิการยน 2541 โครงการของงบประมาณจัดซื้อยาให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศวงเงิน 1,400 ล้าน
โดยการอนุมัติ รักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พรรคกิจสังคม ถูกเปิดโปงออกมา
โดยที่นายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย ผู้ซื่อสัตย์ออกมาปกป้องอย่างออกหน้าออกตา ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฎ
ทั้งราคาในการจัดซื้อยาเวชภัณฑ์ที่แพงกว่าปกติ และผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานกดดัน
ให้ รักเกียรติ สุขธนะ ต้องยอมลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีไปอีกคนอย่างไม่ค่อยเต็มอกเต็มใจนัก

5. กลางปี 2542 มีการโกงการเลือกตั้งสมาชิกเทศบาลนคร จังหวัดสมุทรปราการ ครั้งมโหฬารถึงขั้นต้อง
ให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ โดยหัวหน้าผู้สมัครทีมหนึ่งซึ่งปํนลูกชายของ นายวัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วย
กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มีบุญคุณต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถจัดตั้ง
รัฐบาลชวน 2 เป็นผลสำเร็จ

6. ตุลาคม 2542 มีการเปิดโปรงขบวนการค้าซีดีเถื่อน ซึ่งคนของรัฐบาลได้ใช้ บ้านพิษณุโลกอันเป็น
บ้านพักของนายกรัฐมนตรี เป็นสถานที่เก็บซีดีเถื่อนก่อนกระจายสู่ท้องตลาด จนขยายผลสู่การทลาย
แหล่งผลิตซีดีเถื่อนแหล่งใหญ่ในบริเวณท่านน้ำเมืองนนท์ ร้านที่ตรวจพบซีดีเถื่อนเป็นของส.ส.พรรคร่วม
รัฐบาล สังกัดกลุ่มงูเห่า

7. พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงมหาดไทย ถูกคณะกรรกมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ
กรณีจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่เป็นเท็จ ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงิน 45 ล้านบาท เพราะ
ไม่มีที่มาที่ไปของเงินชัดเจน ก็สะท้อนถึงการทุจริตคอรัปชันที่กลาดเกลื่อนในรัฐบาลชวน 2 ได้อย่าง
แจ่มชัด

8. กรณีของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ยังมีเรื่องคฤหาสน์ 3 หลังในพื้นที่ป่าเมืองกาญจนบุรี เหนือเขื่อน
ศรีนครินทร์ ที่กรมป่าไม่ตรวจสอบพบว่าบุรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติเป็นการจับจองที่ดิน สาธารณะโดยมิชอบ
ที่เกี่ยวโยงกับ ประหยัด เวสสบุตร ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี และ ดิเรก อุทัยผล อดีตผู้ว่าราชการกาญจนบุรี
ซึ่งล้วนเป็นคนไกล้ชิดของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ กระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปนำผู้กระทำ
ผิดกฎหมายมาลงโทษได้

9. กรณีซื้อขายตำแหน่งสำนักงานรพช. ที่ถูกเปิดโปงในเดือนกันยายน 2541 เริ่มต้นจากการจับกุม
น.อ.ธาตรา ธารบุญ จากนั้นขยายผลสู่การจับกุม จ.ส.ต.สุวิทย์ มลธุรัช คนขับรถของเสธ.หนั่น และ สันติ
เกรียงไกรสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย เพราะผลตรวจสอบพบว่ามีการอ้างชื่อ ฉวีวรรณ ขจรประศาสน์
ภรรยา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เข้าไปเกี่ยวข้อง

10. กรณีผืนป่าท่าชนะ จังหวัดสุราษฏร์ธานี พบว่าป่าได้ถูกทำลายไป422 ไร่ ต้นไม้ถูกตัดโค่น 1,293 ต้น
เมื่อเดือนมีนาคม 2543 จนข้าราชการกรมป่าไม้ด้วยกันทนไม่ไหว พยายามนำข้อเท็จจริงของการทำลายป่า
ครั้งนี้ออกมาเปิดเผย เรื่องจริงร้อนถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เพิ่งรอดจากการไม่ถูกสั่งฟ้องในความผิดฐาน
ไม่สั่งเพิกถอนสัมปทานพื้นที่ ป่าสงวนป่าท่าชนะ และเปลี่ยนพื้นที่สัมปทานโดยไม่ได้นำเสนอรับอนุมัติจาก
ครม. ซึ่งพื้นที่เปลี่ยนแปลงเกิน 2,000 ไร่ กลุ่มผู้ที่ลักลอบตัดไม้ครั้งนี้เป็นกลุ่มนายทุนท้องถิ่นที่มีสายสัมพันธ์
ทางผลประโยชน์กับแกนนำ ปชป. มีการวิ่งเต้นจนอัยการสั่งไม่ฟ้อง

ไล่มาเรื่อย ๆ จวบจนปัจจุบัน ขนาดรับเงินที่พ่อค้ามันลงขันมาให้ตั้ง 258 ล้าน ศาลยังเมตตาไม่
แม้จะวินิจฉัยในประเด็นพยานและหลักฐานเลย กลับตัดบทล้มคดีมันซะใครจะทำไม เพราะพารานี้
กูย่อมใหญ่กว่าใครทั้งปวง คำวินิจฉัยก็ดันทักท้วงไม่ได้ เหมือนผู้ใหญ่ถือหางสนับสนุนให้เด็กออกไป
ทำสิ่งเลว ๆ นอกบ้านจนคนเขาเอือมระอากันไปทั้งบาง หากรัฐบาลทักษิณชั่วช้าจริง ๆ อย่างที่เขาว่า
ผมว่าไอ้พรรคบ้านี่เหนือระดับกว่าเป็นร้อยเท่า และเขารักษาความเคลือบแคลงมาได้อย่างสม่ำเสมอ
และนานแสนนานถึงกว่าครึ่งศตวรรษ เรียกว่าเป็นตำนานมืดก็คงจะไม่เกินไป

... ขอให้รอดไปให้ได้ตลอดเถอะ วันไหนเขาทิ้งละก็ เคลียร์ไม่ไหวเชียวแก ...