เปิดคำให้การผู้เชี่ยวชาญด้านทหาร พยานคดี"เม.ย.-พ.ค.53"

คอลัมน์ รายงานพิเศษ


หมาย เหตุ : โจ เรย์ วิทตี้ พยานผู้เชี่ยวชาญ ให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์รุนแรงเดือนเม.ย. และพ.ค. 2553 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำร้อง ที่สำนักงานทนายความ อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ ในนามตัวแทนกลุ่มนปช. ยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ขอให้อัยการเปิดสอบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

โจ เรย์ วิทตี้ อ้างประสบการณ์ เป็นจ่าสิบโท (เกษียณ) พลซุ่มยิงและผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธระเบิด หน่วยรบพิเศษของกองทัพบกสหรัฐ เคยฝึกซ้อมรบกับทางกองทัพบกไทย, อยู่หน่วยสวาท (อาวุธและกลยุทธ์พิเศษ) และเป็นครูฝึกให้กับกรมตำรวจนครลอสแองเจลิส (LAPD) ด้านการควบคุมฝูงชน พร้อมอ้างอิงประสบการณ์ภาคสนาม ความรู้เรื่องอาวุธ

ได้ตรวจสอบและประเมินเหตุการณ์จากภาพวิดีโอ ภาพถ่าย คำให้การพยาน สัมภาษณ์ และตรวจสอบจากสถานที่เกิดเหตุในกรุงเทพฯ จนได้ข้อสรุปและข้อคิดเห็น มีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้



วันที่ 10 เม.ย. 2553

ไม่ ได้ปฏิบัติการจัดการฝูงชนอย่างสมควรแก่เหตุ แต่จงใจปิดล้อมทางออก ต้อนผู้ชุมนุมให้อยู่ในพื้นที่จำกัด และกระทำการอันผิดกฎหมายที่หมายยั่วยุให้ฝูงชนใช้ความรุนแรง เพื่ออ้างเหตุผลใช้ความรุนแรง

โดยใช้พลซุ่มยิงที่มีความเชี่ยวชาญสูง มาซุ่มยิงผู้ชุมนุมโดยที่ไม่มีการยั่วยุ ใช้อาวุธทางการทหาร รวมถึงปืนไรเฟิล M-16 และอาวุธปืนอัติโนมัติบรรจุกระสุนจริงยิงตรงไปยังกลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัว กันอยู่อย่างหนาแน่น

จงใจให้เกิดระเบิดในระยะประชิดของกองทหาร เป็นรูปแบบ "การยิงจากพวกเดียวกัน" เพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่าทหารถูกกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าโจมตี

เป็นปฏิบัติการทางทหารโดยแท้จริง ไม่ได้สอดคล้องกับมาตรฐานของการจัดการฝูงชนที่เป็นที่ยอมรับทั่วไป

การ ชุมนุม 10 เม.ย. 2553 ทหารเตรียมพร้อมในชุดป้องกันการปะทะการจลาจล ที่ออกแบบมาสำหรับสวมใส่ในสถาน การณ์ที่ต้องมีการการจัดการฝูงชน ได้แก่ หมวกกันน็อก ที่กั้นใบหน้า ที่กันกระแทกหน้าอก หัวไหล่ ท่อนแขนบน ปลายแขน ข้อศอก มือ และหน้าแข้ง

บางคนใส่หน้ากากป้องกันแก๊ส ที่ใช้ในการปฏิบัติการโดยใช้แก๊สน้ำตา

ทหารหลายนายติดอาวุธปืนไรเฟิล M-16 สวมอุปกรณ์ป้องกันการจัดการฝูงชน การสวมอุปกรณ์ป้องกันพร้อมติดอาวุธผิดการจัดการฝูงชน

ตาม คำให้การพยาน วิดีโอและหลักฐานทางวัตถุ มีทหารยิงด้วยกระสุนยาง เตือนก่อน อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บทางร่างกายรุนแรงได้ การใช้กระสุนแบบนี้ขัดต่อระเบียบปฏิบัติในการจัดการฝูงชนที่เป็นที่ยอมรับ

ปลอกกระสุนของปืนลูกซองขนาด 12-gauge ที่เก็บได้จากบริเวณชุมนุม แสดงว่ามีทหารบางนายบรรจุและใช้กระสุนจริงยิง

ทหาร ส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสวมใส่เครื่องป้องกัน และติดอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจมอัตโนมัติรุ่น Tarov-21 หรือ M-16 แสดงว่าคำสั่งต้องการให้สู้รบมากกว่าจะจัดการฝูงชนอย่างเข้มงวด

ช่วงกลางวันวันที่ 10 เม.ย. จากการฟังคลิปเสียงมีการยิงโดยใช้อาวุธแบบอัตโนมัติ 3 ชุด ทหารหลายนายที่ยิงปืนทำมุมขึ้นเหนือฝูงชนใช้กระสุนจริง เพราะไม่มีการติดตั้ง "ปลอกทวีแรงถอย" (BFA)

ปลอกทองเหลืองที่เก็บกู้ได้จากรอบบริเวณที่ชุมนุม มาจากกระสุนจริง เพราะไม่จีบรอบหัวกระสุนเหมือนกับที่พบในหัวกระสุนของลูกเปล่า

การยิงลูกกระสุนจริงขึ้นฟ้าอันตรายมาก ตามคู่มือกองทัพสหรัฐ FM 3-22.9 (M16/ไรเฟิล A2) ช่วงระยะยิงสูงสุดคือ 3,600 เมตร การยิงขึ้นฟ้าอาจทำอันตรายใครก็ได้ที่อยู่ในรัศมี

การตรวจสอบวิดีโอหลายรายการ เชื่อว่ารัฐบาลไทยกระทำการที่ไม่เหมาะสมในการจัดกำลังพลในการจัดการฝูงชน มีทหารหลายนายสวมอุปกรณ์ป้องกันควบคู่กับการติดไรเฟิลจู่โจม ผู้ที่สมควรได้รับหน้าที่ในการปฏิบัติภารกิจในการจัดการฝูงชน ควรเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วเป็นอย่างดี แต่นี่กลับเป็นกำลังพลทหารที่ปฏิบัติภารกิจ

การจัดการฝูงชน การตั้งแนวป้องกันต้องเห็นได้ชัดและเข้าถึงพื้นที่ มีทางออกหลักอย่างน้อยหนึ่งทางให้ฝูงชน ผู้นำใช้ระบบกระจายเสียงประกาศคำสั่งสลายฝูงชนและแจ้งทางออก ให้เวลาฝูงชนทำตามคำสั่ง

ตั้งแถวเดินตรงไปยังฝูงชนช้าๆ แจ้งขั้นตอนต่างๆ ให้กับฝูงชน อาจใช้รถฉีดน้ำเพื่อให้ฝูงชนสลายตัวเร็วขึ้น และอาวุธที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงจนถึงชีวิตอาจนำมาใช้ได้เฉพาะผู้ฝ่าฝืน มาตรการเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้

ตอนบ่ายของวันที่ 10 เม.ย. มีการกระชับพื้นที่บริเวณสี่แยกคอกวัว มีรถหุ้มเกราะติดอาวุธปืนอัตโนมัติขนาดใหญ่พร้อมสายกระสุนขนาด.50 และพลยิงสนับสนุน 3 คัน

กำลังพลใส่อุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดการฝูงชน บางรายติดอาวุธปืนไรเฟิลจู่โจม ด้านหลังมีกำลังพลประมาณ 100 กองพล สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน เจตนาการปฏิบัติภารกิจไม่ใช่สลายการชุมนุมแต่เป็นการคุกคามพลเมืองที่ ปราศจากอาวุธ

ตรวจสอบหลักฐานภาพถ่ายของพลซุ่มยิง ที่ยิงปืนไรเฟิลจากบนระเบียงชั้น 3 บนอาคารสำนักงานสีขาวที่อยู่ตรงหัวมุมของถนนตะนาวและถนนราชดำเนิน (กองสลากกินแบ่งรัฐบาล) แสดงให้เห็นที่ซ่อนของพลซุ่มยิงในเมือง โดยพลซุ่มยิงที่ได้รับการฝึกทางทหาร

ช่วงกลางคืน หยุดใช้อาวุธจู่โจม M-16 เจ้าหน้าที่บางนายปฏิบัติการอยู่บนถนนดินสอยิงกระสุนวิถีขึ้นสูงเหนือศีรษะ ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่หลายนายยิงเข้าใส่ฝูงชนโดยตรง โดยไม่มีการติดตั้งปลอกทวีแรงถอย แปลว่าใช้กระสุนจริงยิงใส่ฝูงชน

อาวุธปืนกลหนัก (.50 caliber) ที่ติดตั้งบนพลหุ้มเกราะคันหนึ่งที่ยิงโดยตั้งระบบอัตโนมัติ ลำกล้องอยู่ในระดับสายตา ไม่ติดปลอกทวีแรงถอย ปืนกลประเภทนี้มักใช้ในสมรภูมิรบ ใช้ยิงทำลายยานพาหนะฝ่ายตรงข้าม บางครั้งใช้ในการยิงต่อต้านยานอากาศ ให้ผลทำลายล้างที่รุนแรงมาก มีการยิงตรงไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งมีผู้ชุมนุมหลายพันคน

ก่อนเวลา 19.15 น. ไม่กี่นาที เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่บริเวณถนนดินสอเปิดฉากยิงด้วยอาวุธ เห็นเงาทหารที่ยกแขนขึ้นด้านบนซ้ำๆ กัน เป็นการออกคำสั่งให้ทหารเพิ่มการยิงให้มากขึ้น การยิงที่ถี่ขึ้นก็สอดคล้องกับท่าของเงานั้น

เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ บนพลหุ้มเกราะในมือถือปืนกึ่งอัตโนมัติ ตอบโต้กลุ่มผู้ประท้วงที่ขว้างขวดน้ำพลาสติกด้วยการยิงปืนขึ้นฟ้าหลายนัด ติดต่อกัน ซึ่งเป็นกระสุนจริง เพราะลูกกระสุนเปล่าจากปืนพกกึ่งอัตโนมัติจะไม่ทำให้ปืนมีแรงดันมากพอที่จะ ทำให้ปืนบรรจุกระสุนชุดใหม่เข้าไปได้เอง

ช่วงเวลาเดียวกัน มีการยิงหลอดไฟถนนตรงบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ชวนให้คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างความสับสน และ/หรือการปกปิด

ตรวจ สอบวิดีโอการระเบิดที่สังหารทหารในกองทัพบกหลายนาย บนถนนดินสอ เวลา 19.15 น. แน่ใจว่าการระเบิดครั้งนี้มีสาเหตุมาจากวัตถุระเบิดที่ใช้ในระดับทหาร ซึ่งน่าจะเป็นระเบิดมือ

สะเก็ดระเบิดที่ได้นั้นได้สัดส่วนกันมาก แสดงว่าเผาไหม้ในอัตราคงที่ แต่สะเก็ดจากระเบิดแสวงเครื่องมักไม่ได้สัดส่วนที่เท่าหรือใกล้เคียงกัน เนื่องจากไม่มีทางที่จะประกอบระเบิดได้สมบูรณ์แบบ เพราะไม่ได้ผลิตในโรงงานผลิตระเบิดเพื่อใช้ในระดับทหาร

ประกายไฟจาก การระเบิดเป็นชิ้นส่วนของโลหะเหลว เป็นลักษณะของระเบิดทางการทหารที่ออกแบบมาเพื่อให้กระจาย เป็นการระเบิดประสิทธิภาพสูง และทหารที่กระเด็นจากแรงระเบิดก็สอดคล้องกับผลที่จะได้จากระเบิดมือ

การระเบิดสอดคล้องกับการใช้ระเบิดมือแบบขว้าง M 67 ซึ่งนิยมใช้ในกองทัพบกไทย

หลัง ระเบิดครั้งแรก 34 วินาที ได้ยินเสียงระเบิดลูกที่สองบนถนนดินสอ แม้จะไม่เห็นภาพแต่ก็ไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนของเสียงและจังหวะเสียง ระเบิด

หลักฐานจากวิดีโอและจากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุด้วยตนเอง สรุปได้ว่า ระเบิดครั้งแรกไม่น่าจะมาจากทางฝั่งคนเสื้อแดง เพราะต้องขว้างมาจากระยะทางอย่างน้อย 70 หลา พลทหารทั่วๆ ไปสามารถขว้างระเบิดมือแบบขว้างน้ำหนัก 14 ออนซ์ ได้ในระยะที่น้อยกว่านั้นครึ่งหนึ่ง คือแค่ประมาณ 30 หลา

เมื่อคำนึง ถึงระยะโคจรของขวดน้ำที่ถูกขว้างมาจากฝั่งคนเสื้อแดงตรงมายังทางฝั่งทหาร เป็นเรื่องที่แปลกมากที่ทหารจะไม่ทันสังเกตเห็น และกรณีที่มีการยิงระเบิดเข้ามา หรือมีวัตถุที่คล้ายระเบิดแม้อยู่ในระยะไกล ทหารทุกนายได้รับการฝึกในกรณีนี้เป็นพิเศษว่าให้ตะโกนเตือนว่า "ระเบิด" และรีบหาที่กำบัง หรือหมอบราบลงบนพื้น วิดีโอปรากฏชัดเจนว่าทหารไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองก่อนที่จะเกิดระเบิดเลย

การปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายที่ถูกต้องภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต้องเรียกร้องให้ติดตั้งกล้องวิดีโอในพื้นที่ เข้าใจว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถหาวิดีโอใดๆ ที่บันทึกภาพบุคคลจากฝั่งคนเสื้อแดงขณะ กำลังขว้างระเบิดได้

นายโจ เรย์ วิทตี้ เห็นว่า มีการทิ้งหรือกลิ้งระเบิดมือมากับพื้น โดยบุคคลที่อยู่ภายในรัศมีใกล้เคียงกับจุดที่มีการระเบิด ระเบิดมือ M67 จุดฉนวนภายในเวลา 5 วินาที มีเวลามากพอที่จะแอบทิ้งระเบิดมือ และไปหลบอยู่ข้างหลังพลหุ้มเกราะที่อยู่ไม่ไกล

ได้ยินมาว่ารัฐบาลได้อ้าง "ชายชุดดำ" หรือบุคคลนิรนามอื่นๆ ที่รัฐบาลเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงเป็นผู้ใช้ระเบิดโจมตีเมื่อ วันที่ 10 เม.ย. บนถนนดินสอ ไม่มีการนิรนัยใดๆ ที่สมเหตุสมผล และการที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจอยู่บนถนนดินสอด้วยความเด็ดขาด น่าจะช่วยป้องกันไม่ให้มีชายชุดดำ หรือใครเข้ามาใกล้พื้นที่ได้เลย

หลังเจ้าหน้าที่ถอยร่นยังคงยิงเข้าใส่ฝูงชน มีกรณีตัวอย่างหนึ่งที่พิสูจน์คำกล่าวนี้ ชายหนุ่มถือธงที่มีสัญลักษณ์คนเสื้อแดงกำลังเดินข้ามถนนดินสอ ถูกยิงเข้าที่ศีรษะสมองกระจายลงบนพื้นถนน บาดแผลไม่ได้มีสาเหตุมาจากกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. ที่ยิงออกมาจากปืนไรเฟิล M-16 ทั่วไป รอยแตกของบาดแผลเป็นรอยแตกที่มีสาเหตุมาจากกระสุนปืนขนาด .50 caliber หรืออย่างน้อยก็ขนาด 7.62 ม.ม. อย่างไม่ต้องสงสัย

ชายผู้นี้ถูกยิงโดยพลซุ่มยิงที่ใช้ปืนไรเฟิล Remington M24 ที่ยิงด้วยกระสุนขนาด 7.62 ม.ม. หรือไม่ก็ใช้ปืนไรเฟิล Barrett พร้อมกระสุนขนาด .50 caliber ปืนทั้งสองประเภทนี้มีอยู่ในคลังเก็บอาวุธของกองทัพ

อีกตัวอย่างหนึ่งของการยิงโดยที่ไม่มีการยั่วยุให้เกิดเหตุอันควร ทหารนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บนอนอยู่ตรงขอบถนน สาเหตุที่บาดเจ็บในวิดีโอเห็นไม่ชัด เป็นไปได้ที่อาจเกิดจากการระเบิด หรือจากกระสุนปืนที่ยิงอย่างสะเปะสะปะ พยานปากที่ 15 เข้ามาหาทหารที่บาดเจ็บพร้อมกล่องปฐมพยาบาลที่มีเครื่องหมายกาชาด มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด พยาบาลอาสาผู้นี้ได้รับบาดเจ็บที่เท้า

วันที่ 13- 19 พ.ค. 2553

หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์คำสั่งแก้ไขกฎการใช้กำลังที่ออกมาก่อนหน้านี้ อนุญาตให้มีการใช้กระสุนจริง และอนุญาตให้ใช้ปืนลูกซองต่อกลุ่มคนที่มีอาวุธ และกลุ่มคนที่เข้าข่ายเป็นผู้ก่อการร้ายที่เข้าใกล้เจ้าหน้าที่ โดยให้เล็งเป้ายิงที่ต่ำกว่าระดับหัวเข่า และให้ใช้แก๊สน้ำตาเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ประท้วง ที่มีอาวุธได้

ซึ่งโดยหลักการไม่สามารถใช้อาวุธที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตต่อกลุ่มผู้ ประท้วงที่ปราศจากอาวุธ และไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ห้ามมิให้มีการใช้อาวุธรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก

คำให้การของพยานปากที่ 22, 48 และ 52 เข้าใจว่าช่วงต้นพ.ค. เจ้าหน้าที่ย่านบ่อนไก่ ดินแดงและราชปรารภ ได้รับคำสั่งให้ยิงเป้าเคลื่อนที่ได้ภายในรัศมีที่รับผิดชอบ ซึ่งมีคลิปวิดีโอที่ถ่ายจากด้านหลังเจ้าหน้าที่ซึ่งที่ประจำในที่สูง ว่ามีการทำตามคำสั่งที่ได้รับในการยิงเป้าเคลื่อนที่ในเขตใช้กระสุนจริง

และเข้าใจได้ว่าได้รับคำสั่งไม่ให้มีหลักฐานเป็นภาพถ่าย ที่ปรากฏภาพฆ่าประชาชน และป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายศพ ส่งผลให้มีการใช้ความรุนแรงต่อบุคคลที่มีภาพถ่าย หรือให้ความช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ

คำให้การของพยานปากที่ 22 ย่อหน้า 56-57 เข้าใจว่า การฝ่าแนวกั้นเสื้อแดงรอบราชประสงค์วันที่ 19 พ.ค. มีคำสั่งให้ยิงบุคคลต้องสงสัยว่ามีอาวุธ โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าพกพาอาวุธจริงหรือไม่ คำสั่งระบุไว้ชัดเจนว่าการถือหนังสติ๊กก็ถือว่ามีอาวุธไว้ในครอบครองและเป็น อันตราย

ปฏิบัติการกวาดล้างในวันที่ 19 พ.ค. ไม่ใช่การปฏิบัติการเพื่อควบคุมฝูงชนที่เป็นพลเมือง แต่เป็นการปฏิบัติเสมือนเป็นฝ่ายตรงข้ามในสมรภูมิรบ